tag:blogger.com,1999:blog-76227244570840057792024-03-19T03:28:18.092-07:00Mr.Theemr.theehttp://www.blogger.com/profile/15557396758322022068noreply@blogger.comBlogger7125tag:blogger.com,1999:blog-7622724457084005779.post-58528197976628226862008-02-23T19:07:00.000-08:002008-12-09T18:34:48.205-08:00ทฤษฎีการป้องกันการเสื่อมโทรมและพังทลายของดินโดยหญ้าแฝก<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpV3rAUEMbP5eQaTU1_N-ddmNWowKEjBEUR2Hy5zqOTjv2Y9hLfB59W44EXUmT3Usjbs5rdMHXRFHK2LjohGewaXyLTZvhBZHKu7c0KypMOJwBQsskJY_ahItKGyuP8GJxghEmK-yCzDk/s1600-h/mong3.bmp"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5170379017377679938" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpV3rAUEMbP5eQaTU1_N-ddmNWowKEjBEUR2Hy5zqOTjv2Y9hLfB59W44EXUmT3Usjbs5rdMHXRFHK2LjohGewaXyLTZvhBZHKu7c0KypMOJwBQsskJY_ahItKGyuP8GJxghEmK-yCzDk/s200/mong3.bmp" border="0" /></a><br /><div>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงสภาพปัญหาการชะล้างพังทลายของดินและการสูญเสียหน้าดิน ที่อุดมสมบูรณ์ จึงทรงศึกษาถึงศักยภาพของ“หญ้าแฝก”ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านของไทยที่มีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยป้องกัน การชะล้างพังทลายของหน้าดินและอนุรักษ์ความชุ่มชื้นใต้ดิน ซึ่งมีวิธีการปลูกแบบง่าย ๆ เกษตรกรสามารถดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องให้การดูแลหลังการปลูกมากนัก ทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วยจึงได้พระราชทานพระราชดำริให้ดำเนินการศึกษาทดลองเกี่ยวกับหญ้าแฝกลักษณะของหญ้าแฝก หญ้าแฝกมีชื่อสามัญเป็นภาษาอังกฤษว่า Vetiver Grass มีด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือ หญ้าแฝกดอน (Vetiveria nemoralis A. Camus) และหญ้าแฝกหอม (Vetiveria zizanioides Nash)เป็นพืชที่มีอายุได้หลายปี ขึ้นเป็นกอแน่น มีใบเป็นรูปขอบขนานแคบปลายสอบแหลม ยาว 35-80 ซม. มีส่วนกว้าง 5-9 มม. หญ้าแฝกจะมีการขยายพันธุ์ที่ได้ผลรวดเร็ว โดยการแตกหน่อ จากลำต้นใต้ดิน ในบางโอกาสสามารถแตกแขนงและรากออกในส่วนของก้านช่อดอกได้ เมื่อหญ้าแฝกโน้มลงดินทำให้มีการเจริญเติบโตเป็นกอหญ้าแฝกใหม่ได้ การใช้ประโยชน์จากหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ 1. การปลูกเป็นแถวตามระดับขวางความลาดชัน เพื่อชะลอความเร็วของน้ำ และดักตะกอนดิน ส่วนน้ำจะไหลซึมลงไปสู่ดินชั้นล่างได้มากขึ้น เป็นการเพิ่ม ความชุ่มชื้นในดิน ส่วนรากหญ้าแฝกจะหยั่งลึกลงไปในดินอาจถึง 3 เมตร ซึ่งสามารถยึดดินป้องกันการพังทลายได้ 2. การปลูกเพื่อแก้ปัญหาการพังทลายของดินเป็นร่องน้ำลึก 3. การปลูกในพื้นที่ที่มีความลาดชัน โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคใต้ ให้ปลูกหญ้าแฝกเป็นแนวรั้วบริเวณคันคูขอบเขา หรือริมขั้นบันไดดินด้านนอก โดยควรปลูกเป็นแถวตามแนวขวางความลาดเทในต้นฤดูฝน 4. การปลูกเพื่อการอนุรักษ์ความชุ่มชื้นในดิน โดยปลูกแถวหญ้าแฝกขนานไปกับแถวของไม้ผล ปลูกแบบวงกลมรอบไม้ผล และปลูกแบบครึ่งวงกลมหงายรับน้ำฝน 5. การปลูกเพื่อป้องกันการเสียหายของขั้นบันไดดินหรือคันคูรับน้ำรอบเขา 6. การปลูกเพื่อป้องกันตะกอนดินทับถมลงสู่คลองส่งน้ำ ระบายน้ำ อ่างเก็บน้ำในไร่นาตลอดจนปลูกรอบสระ หรือปลูกเป็นแถวขนานไปกับแม่น้ำ ลำคลองเพื่อกรองตะกอนดิน 7. การปลูกเพื่อฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรม 8. การปลูกเพื่อป้องกันการพังทลายของไหล่ถนนที่ลาดชันสูง โดยปลูกหญ้าแฝกเพื่อยึดดินและเบี่ยงเบนทางน้ำไหลบริเวณไหล่ทางและปลูกขวางแนวลาดเทเพื่อป้องกันการพังทลายและเลื่อนไหลของดิน 9. การปลูกในพื้นที่ดินดาน รากหญ้าแฝกสามารถหยั่งลึกลงไปในดินดาน ทำให้ดินแตกร่วนขึ้น และหน้าดินจะมีความชื้นเพิ่มขึ้น 10. การปลูกเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ รากหญ้าแฝกจะเป็นกำแพงกักกั้นดินและสารพิษที่ปะปนมากับน้ำไม่ให้ไหลลงสู่แหล่งน้ำเบื้องล่างและรากยังมีประสิทธิภาพในการดูดซับธาตุโลหะหนักและสารเคมีบางอย่างได้ดีกว่าพืชชนิดอื่น ประโยชน์เอนกประสงค์อื่น ๆ ของหญ้าแฝก - ปลูกหญ้าแฝกบนคันนา เพื่อให้คันนาคงสภาพอยู่ได้นาน - ปลูกหญ้าแฝกเพื่อใช้ประโยชน์มุงหลังคา ตับหลังคาที่ทำจากหญ้าแฝกสามารถผลิตจำหน่ายได้ ส่วนรากที่มีความหอมนั้นคนไทยรุ่นเก่าเคยนำมาแขวนในตู้เสื้อผ้า ทำให้มีกลิ่นหอมและช่วยไล่แมลงที่จะทำลายเสื้อผ้าได้ - หญ้าแฝกมีสรรพคุณช่วยขับลมในลำไส้ แก้อาการท้องอืดเฟ้อ และแก้ไข้ได้ ส่วนรากสามารถนำมาสกัดทำน้ำมันที่มีประโยชน์และคุณค่าทางการค้าได้ อาทิเช่น ฝรั่งเศสผลิตน้ำหอมจากรากหญ้าแฝก ชื่อ “Vetiver” </div>mr.theehttp://www.blogger.com/profile/15557396758322022068noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7622724457084005779.post-20507873392400174832008-02-23T18:49:00.000-08:002008-12-09T18:34:48.403-08:00ทฤษฎีใหม่ : การบริหารจัดการที่ดินเพื่อการเกษตรตามพระราชดำริ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioUYG3PeSKcV7t4SwOFg9CpCQ-HizS7L8RIletqzf2fj2y8SfZRcokN0yiIeJvaQBJLGQZyl07AXCZvGJ8w84DhE3hvyYuIFQHm1JuIv7SPJal0Fm-735lTXigvHvyPwmoMUaeckkSIlE/s1600-h/mong2.bmp"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5170374387402934834" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEioUYG3PeSKcV7t4SwOFg9CpCQ-HizS7L8RIletqzf2fj2y8SfZRcokN0yiIeJvaQBJLGQZyl07AXCZvGJ8w84DhE3hvyYuIFQHm1JuIv7SPJal0Fm-735lTXigvHvyPwmoMUaeckkSIlE/s200/mong2.bmp" border="0" /></a><br /><div>ในทุกคราที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศนั้นได้ทรงถามเกษตรกรและทอดพระเนตรพบสภาพปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการปลูกข้าวและเกิดแรงดล พระราช หฤทัย อันเป็นแนวคิดขึ้นว่า<br />1. ข้าวเป็นพืชที่แข็งแกร่งมาก หากได้น้ำเพียงพอจะสามารถเพิ่มปริมาณเม็ดข้าวได้มากยิ่งขึ้น<br />2. หากเก็บน้ำฝนที่ตกลงมาไว้ได้แล้ว นำมาใช้ในการเพาะปลูกก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้มากขึ้นเช่นกัน<br />3. การสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่นับวันแต่จะยากที่จะดำเนินการได้เนื่องจากการขยายตัวของชุมชนและข้อจำกัด ของปริมาณที่ดิน เป็นอุปสรรคสำคัญ<br />4.หากแต่ละครัวเรือนมีสระน้ำประจำไร่นาทุกครัวเรือนแล้วเมื่อรวมปริมาณกันก็ย่อมเท่ากับปริมาณในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่แต่สิ้นค่าใช้จ่ายน้อย และเกิดประโยชน์สูงสุดโดยตรงมากกว่า<br />ในเวลาต่อมาได้พระราชทานพระราชดำริให้ทำการทดลอง"ทฤษฎีใหม่"เกี่ยวกับการจัดการที่ดิน และแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรขึ้นณวัดมงคลชัยพัฒนาตำบลห้วยบงอำเภอเมืองจังหวัดสระบุรีแนวทฤษฎีใหม่กำหนดขึ้นดังนี้ให้แบ่งพื้นที่ถือครอง ทางการเกษตร ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วเกษตรกรไทย มีเนื้อที่ดินประมาณ 10-15 ไร่ต่อครอบครัว แบ่งออกเป็นสัดส่วน 30-30-30-10 คือ<br />ส่วนแรก : ร้อยละ 30 เนื้อที่เฉลี่ย 3 ไร่ ให้ทำการขุดสระกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการเพาะปลูก โดยมีความลึกประมาณ 4 เมตร ซึ่งจะสามารถรับน้ำได้จุถึง 19,000 ลูกบาศก์เมตรโดยการรองรับจากน้ำฝน ราษฎรจะสามารถนำน้ำนี้ไปใช้ในการเกษตร ได้ตลอดปีและยังสามารถเลี้ยงปลาและปลูกพืชน้ำ พืชริมสระเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวอีกทางหนึ่งด้วย<br />ส่วนที่สอง : ร้อยละ 60 เนื้อที่เฉลี่ย ประมาณ 10 ไร่ เป็นพื้นที่ทำการเกษตรปลูกพืชผลต่าง ๆ โดยแบ่งพื้นที่นี้ออกเป็น2ส่วนคือร้อยละ30ในส่วนที่หนึ่ง:ทำนาข้าวประมาณ5ไร่ร้อยละ30ในส่วนที่สองปลูกพืชไร่หรือพืชสวนตามแต่สภาพ ของ พื้นที่และภาวะตลาด ประมาณ 5 ไร่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคำนวนโดยใช้หลักเกณฑ์ว่า ในพื้นที่ทำการเกษตร นี้ต้องมีน้ำใช้ในช่วงฤดูแล้ง ประมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ถ้าหากแบ่ง แต่ละแปลงเกษตรให้มีเนื้อที่ 5 ไร่ ทั้ง 2 แห่งแล้ว ความต้องการน้ำจะต้อง ใช้ประมาณ 10,000 ลูกบาศก์เมตร ที่จะต้องเป็นน้ำสำรองไว้ใช้ในยามฤดูแล้ง<br />ส่วนที่สาม : ร้อยละ 10 เป็นพื้นที่ที่ เหลือ มีเนื้อที่เฉลี่ยประมาณ 2 ไร่ จัดเป็นที่อยู่อาศัย ถนนหนทาง คันคูดินหรือคูคลอง ตลอดจนปลูกพืชสวนครัวและเลี้ยงสัตว์ ทฤษฎีใหม่จึงเป็นแนวพระราชดำริใหม่ที่บัดนี้ได้รับการพิสูจน์และยอมรับกันอย่าง กว้างขวางในหมู่เกษตรกรไทยแล้วว่า พระราชดำริของพระองค์เกิดขึ้นด้วย พระอัจฉริภาพ สูงส่งที่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ความสมบูรณ์พูนสุขแห่งราชอาณาจักรไทย อุบัติขึ้นในครั้งนี้ด้วยพระปรีชาสามารถอันเฉียบแหลมของพระมหากษัตริย์ไทยผู้มิเคยทรงหยุดนิ่งที่จะระดมสรรพกำลังทั้งปวงเพื่อความผาสุข ของชาวไทย</div>mr.theehttp://www.blogger.com/profile/15557396758322022068noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7622724457084005779.post-68813298806940759542008-02-23T18:42:00.000-08:002008-12-09T18:34:48.613-08:00ทฤษฎี "แกล้งดิน" อันเนื่องมาจากพระราชดำริ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBEgk0vqu0r-wunO9v_KYfdW4qxlkivnC7prdcPtzpZUEXH98ZauAb0OhKnjwOcLjXs8mF2DkzbJcwr3Vi5X5mRWsaqb022tL2fhWg9-pDnpIAaVt1nGKXGxVP4Xh7A7xZhsQGbbDjMZA/s1600-h/mong1.bmp"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5170373189107059234" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBEgk0vqu0r-wunO9v_KYfdW4qxlkivnC7prdcPtzpZUEXH98ZauAb0OhKnjwOcLjXs8mF2DkzbJcwr3Vi5X5mRWsaqb022tL2fhWg9-pDnpIAaVt1nGKXGxVP4Xh7A7xZhsQGbbDjMZA/s200/mong1.bmp" border="0" /></a><br /><div>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ ฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในเขตจังหวัดนราธิวาส ในปี พ.ศ. 2524 ทรงพบว่า หลังจากมีการชักน้ำออกจากพื้นที่พรุเพื่อจะได้มีพื้นที่ใช้ทำการเกษตรและเป็นการบรรเทาอุทกภัยนั้น ปรากฎว่าดินในพื้นที่พรุแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด ทำให้เพาะปลูกไม่ได้ผล จึงมีพระราชดำริให้ส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงพื้นที่พรุที่มีน้ำแช่ขังตลอดปีให้เกิดประโยชน์ในทางการเกษตรมากที่สุดและให้คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ด้วยการแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัด เนื่องจากดินมีลักษณะเป็นเศษอินทรีย์วัตถุหรือซากพืชเน่าเปื่อย อยู่ข้างบนและมีระดับความลึก 1-2 เมตรเป็นดินเลนสีเทาปนน้ำเงิน ซึ่งมีสารประกอบกำมะถัน ที่เรียกว่า สารประกอบไพไรท์ (Pyrite : FeS2) อยู่มาก ดังนั้นเมื่อดินแห้ง สารไพไรท์จะทำปฏิกิริยากับอากาศปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินแปรสภาพเป็นดินกรดจัดหรือเปรี้ยวจัด ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่อง มาจากพระราชดำริ จึงได้ดำเนินการสนองพระราชดำริโครงการ "แกล้งดิน" เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดของดิน เริ่มจากวิธีการ "แกล้งดินให้เปรี้ยว" ด้วยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดิน ซึ่งจะไปกระตุ้นให้สารไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ปลดปล่อยกรดกำมะถันออกมา ทำให้ดินเป็นกรดจัดจนถึงขั้น "แกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด" จนกระทั่งถึงจุดที่พืชไม่สามารถเจริญงอกงามได้จากนั้นจึงหาวิธีการปรับปรุงดินดังกล่าวให้สามารถปลูกพืชได้</div>mr.theehttp://www.blogger.com/profile/15557396758322022068noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7622724457084005779.post-88521732041221254282008-02-23T18:39:00.000-08:002008-12-09T18:34:48.804-08:00ที่จับแมลงวันแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijL4XpARwXxotYQI_w9I9LBpcMvKdEI3rqJs2WjEV2Ff8QRP088j7A9hVoOdFOzEKPvzZYRnW2JP9JNfB4eTUYn06_1Ty_L3HUUx11vDBi_QhjEdIMiLjcaHzPCwlhrK2XfzZLL7MvwkY/s1600-h/mong.bmp"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5170371256371776018" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijL4XpARwXxotYQI_w9I9LBpcMvKdEI3rqJs2WjEV2Ff8QRP088j7A9hVoOdFOzEKPvzZYRnW2JP9JNfB4eTUYn06_1Ty_L3HUUx11vDBi_QhjEdIMiLjcaHzPCwlhrK2XfzZLL7MvwkY/s200/mong.bmp" border="0" /></a><br /><div>เมื่อวานดูสะเก็ดข่าวเค้าเสนอวิธีการทำที่จับแมลงวันแบบมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ แต่ว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านจิง ๆ วิธีการทำก้อง่ายมาก เตรียมอุปกรณ์ดังนี้<br />ขวดน้ำอัดลมแบบลิตร 3 ขวด<br />เทปกาว<br />กับดัก (อาหาร)<br />ดูรูปปลากรอบ<br />วิธีการทำก้อง่ายแบบคิดไม่ถึงจิง ๆ<br />นำขวดที่1 มาเจาะรูเยอะแบบให้แมลงวันเข้ามาได้มาต่อกันขวดที่ 2 แล้วก้เอาขวดที่ 2 ไปต่อกันขวดที่ 3 ที่มีน้ำอยู่เพื่อให้แมลงวันตกลงไปตายชักดิ้นชักงอ 555(ทรมานสัตว์มาก แต่มันเป็นพาหฯะนำโรคนิน่า แล้วน่ารำคาญมาก)<br />นำขวดที่1ไป ครอบที่กำดักที่เราวางไว้<br />ดูผลการทดลองคับ<br />แมลงวันเมื่อเข้ามาดมกับดักของเรา มันจะไม่บินลงข้างล่างคับ มันจะบินขึ้นอย่างเดียว ดังนั้นมันก้อเข้าไปขวดที่2 เมื่อเข้าไปแล้วมันขึ้นต่อไปไม่ได้มันก้อจะหา รูอากาศซึ่งก้อเป็นขวดที่3 ที่นี่ก้อเสร็จละจิ ขวดที่3 ไม่มีทางออก มันก้อจะบินจนเหนื่อยแล้วตกมาตาย แงก ๆ<br />ที่นี้เราก้อไปแนะนำร้านขายอาหารที่ชอบเลี้ยงแมลงวันให้ลองทำแบบนี้ดูวันหยุด ดีกว่าเอากาวเหนียว ๆ มาประดับยังกับดอกไม้ ไอ้คนกินก้อสดชื่นล่ะซิคับ</div>mr.theehttp://www.blogger.com/profile/15557396758322022068noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7622724457084005779.post-10697335241587874622008-02-23T18:18:00.000-08:002008-02-23T18:26:22.975-08:00น้ำส้มควันไม้ ภูมิปัญญาชาวบ้านสร้างสารอินทรีย์น้ำส้มควันไม้ ภูมิปัญญาชาวบ้านสร้างสารอินทรีย์<br />จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพื้นที่ราบลุ่ม อุดมสมบูรณ์จังหวัดหนึ่งของประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร แต่ทุกวันนี้มีการใช้สารเคมีในปริมาณมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพร่างกายของมนุษย์ มีราคาแพงไม่คุ้มกับผลผลิตที่ได้ ชาวบ้านจึงได้เล็งเห็นความสำคัญในการที่จะลดปริมาณการใช้สารเคมี โดยมีการทดลองใช้สารอินทรีย์ในหลายๆ รูปแบบและพยายามคิดค้นรูปแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ<br />นายเชิด พันธ์เพ็ง แกนนำชุมชน จ.อยุธยาเล่าว่า ทราบว่าทางมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลกได้ทดลองทำสารสกัดน้ำส้มควันไม้ขึ้น จึงได้ชักชวนกันไปศึกษาดูงาน จากนั้นจึงได้ลงมือปฏิบัติทำน้ำส้มควันไม้ ภูมปัญญาชาวบ้าน สร้างสารอินทรีย์ขึ้นมา แรกเริ่มมีคนทำอยู่ 10 คน โดยชาวบ้านจะนำไม้ที่กรมทางหลวงตัดทิ้ง จากการตัดแต่งต้นไม้ริมถนนหรือใช้ไม้ในสวนบ้าง โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องทำครัวเรือน ไม่ให้ทำเป็นเชิงธุรกิจ เพราะจะทำให้ต้นไม้หมดไปได้ ถ้าไม่มีการปลูกทดแทน<br />ขั้นตอนในการทำน้ำส้มควันไม้ เริ่มจากก่ออิฐบล็อก กว้างและสูงประมาณ 1.5 เมตร และยาวประมาณ 2 เมตร นำถังน้ำมัน 200 ลิตรที่ตัดปากให้กว้างและเจาะปลายถังให้เท่ากับกระบอกไม้ไผ่ที่นำมาวางแล้วใส่ตะแกรง นำไม้ที่จะเผาใส่ลงไปในถังแล้วติดไฟจนคิดว่าเตาติดแล้วจึงปิดปากเตาพอประมาณฝ่ามือเพื่อปล่อยอากาศเข้าไป เมื่อดูแล้วควันเป็นสีน้ำตาลจึงนำไม้ไผ่ไปครอบไว้กับท้ายเตาเผาที่มีปล่องเจาะไว้เพื่อจะให้อากาศออก เมื่อความร้อนที่เผาไหม้ลอยออกทางปลายไม้ไผ่กระทบกับความเย็นรวมตัวกันเป็นหยดน้ำแล้วทิ้งไว้จนเตาเผาดับใช้เวลาประมาณ 24ชั่วโมง ก็จะได้น้ำส้มควันไม้ โดยเตาหนึ่งจะได้น้ำส้มควันไม้ประมาณ 5 ลิตร นำมาทิ้งไว้ให้ตกตะกอนประมาณ 3 เดือน จึงนำออกมาทดลองใช้ ส่วนถ่านที่ได้ก็สามารถนำไปขายถือว่าได้กำไรสองต่อ<br />นายเชิด พันธ์เพ็ง เล่าอีกว่า แต่ก่อนชาวบ้านจะใช้ปุ๋ยและฉีดสารเคมีในการปลูกพืชผักและฉีดพ่นกันแมลง ซึ่งมีต้นทุนในการผลิตสูงมาก จึงคิดทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อลดต้นทุน การไปดูงานที่ ม.นเรศวร ทำให้ชาวบ้านเห็นทางออกที่จะนำ เชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรม พยายามให้ชาวบ้านหันกลับมาใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่นการตัดตกแต่งกิ่งไม้ให้นำมาเผาถ่าน เพื่อทำน้ำส้มควันไม้เพื่อเอาไปรดพืชผัก รดข้าว แล้วบางส่วนก็เอาไปทดลองกับสัตว์ ชาวบ้านบอกว่าได้ผลดีมากจึงได้ช่วยกันลงมือทำน้ำส้มควันไม้อย่างเอาจริงเอาจัง<br />จากการทดลองใช้น้ำส้มควันไม้กับพืช เช่นผักบุ้ง เริ่มตั้งแต่เตรียมดินแล้วฉีดยาพ่นตากดินทิ้งไว้จึงปลูกผัก เมื่อพืชแทงยอดอ่อนขึ้นมาจึงฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้ลงไปอีกประมาณ 3 ครั้ง โดยอัตราส่วนที่ใช้น้ำส้มควันไม้ 20 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร จะไม่มีแมลงมารบกวนเลย ลำต้นจะแข็งแรงมาก เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วน้ำหนักดี ทิ้งไว้ค้างคืนลำต้นจะไม่เหลือง รสชาดดี เป็นที่ยอมรับของตลาด<br />ด้านนายพำ เสนานาท เครือข่ายน้ำส้มควันไม้ อำเภอเสนา เล่าว่ามีความสนใจจึงได้เข้าร่วมฟังเวทีแลกเปลี่ยนกับชาวบ้านและได้รับการชักชวนจากคุณเชิด เลยลองทำดู เตาแรกไม่ได้ผลเลย ต่อมาทำเตาที่สองก็ได้ผลประมาณ 50 % จนมาถึงเตาที่ 5 ได้ผลเกือบ 100 % เพราะนั่งเฝ้าดูตลอดเวลาและทำตามขั้นตอนอย่างละเอียด ไม้ที่ใช้ส่วนมากจะใช้ไม้แห้งซึ่งเป็นไม้ที่ให้น้ำส้มควันไฟดีมีความเข็มข้นได้ดีกว่าไม้เปียก<br />ตอนแรกก็ปลูกผักหลายๆ อย่าง ใช้สารเคมีไปก็แพ้สารเคมีจึงได้เริ่มใช้น้ำส้มควันไม้ โดยทดลองกับดาวเรืองและบานไม่รู้โรย ลำต้นแข็งแรงดีมาก ดอกดกจนต้องตัดทิ้งก็มี ซึ่งฉีด 7 วันต่อครั้งระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวนาน เหี่ยวเฉาช้าอยู่ได้ 4-5 วัน ตอนนี้ไม่ได้ใช้สารเคมีมา 2 ปีแล้ว<br />ส่วนถ่านที่เผารู้สึกว่าไฟจะกล้าดีมากและอยู่ได้นาน ปัจจุบันนี้ไม่มีถ่านจะขาย ไม่พอส่ง เจ้าหนึ่งจะสั่งทีละ 100 ถุง ต้องสั่งจากเครือข่ายมาขาย<br />กรณีที่นำมาใช้กับสัตว์ คือสุนัขที่เป็นโรคเรื้อน เอาสำลีชุบกับน้ำส้มควันไม้ทาสัก 1-2 อาทิตย์จะทำให้หายได้ โดยแผลจะแห้งและมีขนขึ้นตามปรกติ นอกจากนี้ยังสามารถทากันยุงได้ด้วยจะมีอาการแสบนิดหน่อยในตอนแรกสักพักจะเย็น<br />ด้านนายคำพา หอมสุดชา เครือข่ายน้ำส้มควันไม้ อำเภอภาชี เล่าว่า การทดลองนำน้ำส้มควันไม้มาใช้กับนาข้าว แล้วฉีดพ่น 4 ครั้ง ได้ผลเกือบ 100% สภาพดินดีขึ้น คือดินที่แข็งสามารถทำให้ร่วน ผลผลิตได้มากกว่าเดิม จากปกติ 1 ไร่ ได้ 70 ถัง แต่พอใช้น้ำส้มควันไม้ 1 ไร่ ได้ 110 ถัง ไม้ที่ใช้เผาส่วนมากจะเป็นสะเดาและสะแก เมื่อก่อนต้นทุนที่ใช้สารมีตกไร่ละ 2500 บาท แต่พอใช้น้ำส้มควันไม้ตกไร่ละ 1000 กว่าบาทเท่านั้นจะเห็นได้ว่าต้นทุนลดลง ทุกวันนี้ปุ๋ยยูเรียไม่ได้ใช้แล้ว ส่วนผักที่ปลูกอยู่ในบริเวณข้างๆ เตาจะงามมากอย่างเห็นได้ชัด<br />ทุกวันนี้ชาวบ้านมีความสุขที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันมีเครือข่ายเกือบทุกอำเภอในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีน้ำใจไมตรีเอื้อเฟื้อเพื่อแผ่ เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ อาศัยธรรมชาติที่มีอยู่<br />นายประพันธ์ สีดำ<br />สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)mr.theehttp://www.blogger.com/profile/15557396758322022068noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7622724457084005779.post-33933850154135600322007-12-17T07:03:00.001-08:002008-12-09T18:34:49.178-08:00ภูมิปัญญาชาวบ้าน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2e2Z_9XW4uBkc5j9YJtL9bs9dg25M75Ks9vWFfJHMEIUBIP94ULNvYmpoMHhhmwLA-VwRzouPCH_dRMpcN484EHD2mk6CGqtM5MU0_TqMuVwWPU07MeaT3aG53-Llb8099ZMecOzk76A/s1600-h/cc.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5144961082005858946" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2e2Z_9XW4uBkc5j9YJtL9bs9dg25M75Ks9vWFfJHMEIUBIP94ULNvYmpoMHhhmwLA-VwRzouPCH_dRMpcN484EHD2mk6CGqtM5MU0_TqMuVwWPU07MeaT3aG53-Llb8099ZMecOzk76A/s200/cc.jpg" border="0" /></a><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjE5t7RhxdGTGDr_XWLdoLYHLYFhqah9oPbzkZFcvE0GpLQnNAndjtQrBCQEezvJ6RS-9feFIUCsqFow31eZTzvflZKDyjv5FIDTkph7VQ0-v3oBKL9IpYhdgyC1NRISRPZKMsJBu8vrbo/s1600-h/cc.jpg"></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhi_-O9gzaTI8IWLWHPbQ-5XbPh02iXt9VJ5Vp3GNxN7oYbvZ7K_fiXeRViydlUQeVlROoPgk-0kNLeIU1zmgh837jjeRunkXaAmzYku7L23CGkDPNmw4yt19qTIbE2E0Pe1vQj1tNiz8s/s1600-h/bb.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5144959724796193394" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhi_-O9gzaTI8IWLWHPbQ-5XbPh02iXt9VJ5Vp3GNxN7oYbvZ7K_fiXeRViydlUQeVlROoPgk-0kNLeIU1zmgh837jjeRunkXaAmzYku7L23CGkDPNmw4yt19qTIbE2E0Pe1vQj1tNiz8s/s200/bb.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><ทดสอบ><br /><br />ภูมิปัญญาชาวบ้าน<br /><br />การเลี้ยงไก่ชนให้ถึงบ่อน<br /><br />พ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ ต้องมั่นใจ โดยเฉพาะแม่พันธุ์จะเก่ง จะอึด จะทน<br />เหนียว สู้เต็มร้อย แม่ต้องดีต้องลงเหล่า เลือดนิ่ง<br />พ่อพันธุ์ต้องผ่านสังเวียน พิสูจน์ความเก่ง<br />ความเหนียวจากสนามชนมาแล้ว<br />การปล้ำคัดไก่ เมื่อไก่มีอายุ 5-6 เดือน เลือกเอาไก่ที่สมบูรณ์<br />ไม่พิการ ท่าทางดี เอามาเลี้ยงบำรุง พออายุ 8-9 เดือน ก็สุดปีกสุดหาง<br />เสียงขันชัดเจน เริ่มสู้ไก่ ก็นำไก่มาครอบสุ่มเลี้ยง กราดน้ำกราดแดด<br />สัก 10 วัน ลองปล้ำ ซ้อมกับไก่รุ่นราวเดียวกันสัก 15 นาที ซ้อมดูเชิง<br />ดูลำโต ดูรอยตี ถ้าใช้ได้เลี้ยงต่อ การปล้ำคัดไก่นี้จะปล้ำประมาณ 3<br />อัน โดยซ้อมครั้งละ อัน 20-25 นาที แล้วแต่สภาพไก่<br />สู้ไม่ได้ก็ต้องยอมเขาไปก่อน มิเช่นนั้นจะเสียไก่<br />การซ้อมวัดใจ 2 อันเต็มๆ<br />คือหลังจากนำไก่มาครอบสุ่มเลี้ยงและปล้ำคัดไก่มาแล้วประมาณ 3 ครั้ง 3<br />อัน ไก่จะเริ่มมีความแข็ง เนื้อหนังดี อายุได้<br />แล้วนำมาซ้อมวัดใจให้ได้ 2 อัน ถ้าไก่เชิงดี ตีจัด<br />ซ้อมไม่ค่อยได้อันเราต้องพันผ้าหุ้มเดือยให้หนาสักนิด<br />คู่ต่อสู้จะได้ทนได้ การที่ต้องซ้อมโหดๆ 2 อันก็เพื่อจะดูการยืน<br />การยืดเวลา การตีลำตกไหม แรงบินได้ไหม เหนื่อยหอบหรือเปล่า<br />เมื่อเหนื่อยหอบลืมเชิง ลืมลำตีไหม ใจสู้ไหม จิตใจมั่นคง<br />เหนียวหรือเปล่า ขั้นตอนนี้ต้องซ้อมให้ถึง อย่าสงสารไก่<br />ต้องให้ไก่เจ็บ ให้เหนื่อย ให้รู้จักแก้สถานการณ์ เราจะรู้ฝีตีนไก่<br />รู้น้ำใจไก่ ถ้าซ้อมผ่านโอกาสถึงบ่อนมีสูง<br />แต่ไก่ส่วนมากจะถูกคัดออกจากขั้นตอนนี้<br />ตัวไหนไม่ผ่านอย่าไปฝืนเลี้ยงออกตี ให้ยอมเสียเวลาไปเลี้ยงบำรุง<br />กินดี นอนดี ออกกำลังดี แล้วกลับมาซ้อมวัดใจอีกครั้ง ถ้าผ่านใช้ได้<br />ถ้าไม่ผ่านอีกตัดใจทิ้งไปเลย<br />การถอนตีน เลี้ยงบำรุงก่อนออกตี<br />เมื่อไก่ผ่านด่านวัดใจมาจะมีความบอบช้ำ ได้หน้า ได้คอ<br />ได้แผลตามที่ต่างๆ เราต้องนำมาถ่ายยา จัดหาอาหารบำรุง อาหารเสริม<br />ให้ไก่ออกกำลังโยนเบาะ วิ่งสุ่ม วิ่งล่อทางตรง ทางโค้ง ทวนเชิง<br />เมื่อไก่สมบูรณ์หน้าแดง ตีปีกพั่บๆ เราต้องถอนตีนอีก 1 อัน<br />คือซ้อมคู่อีก 1 อัน ไก่คู่ซ้อมไม่ต้องแกร่งมาก<br />หลังจากถอนตีนเสร็จก็เลี้ยงบำรุงออกตีได้เลย<br />การเปรียบไก่และเดิมพัน ขั้นตอนนี้จะว่าง่ายก็ง่าย ว่ายากก็ยาก<br />การเปรียบไก่มีสูตรประจำตัวที่หนีไม่สู้เขาอยู่ 3 ข้อ คือ<br />ตัวโต(สูง)<br />อายุดี(ลูกถ่าย แซม)<br />ตอยาว<br />ถ้าคู่ต่อสู้ได้เปรียบเราทั้ง 3 อย่างก็ไม่ควรจะตี<br />หลังจากเปรียบได้คู่ ดูพอสมน้ำสมเนื้อกันแล้ว ก็ค่อยพูดถึงเดิมพัน<br />การพักไก่หรือการคืนตัวไก่ก่อนออกชน<br />การเลี้ยงไก่ออกชนทุกครั้ง เราต้องเลี้ยงเป็นเวลานานพอสมควร<br />เลี้ยงเพื่อหวังชัยชนะกันทุกคน บางคนเลี้ยง 15 วัน บางคนเลี้ยง 21 วัน<br />บางคนเลี้ยงเป็นเดือนก็มี แล้วแต่วิธีการเลี้ยงของแต่ละคน<br />แต่ถ้าเลี้ยงนานๆยิ่งดี เพราะจะได้เปรียบคู่ต่อสู้เรื่องความเข้มแข็ง<br />แต่ก็ขึ้นอยู่กับไก่ด้วยเหมือนกัน<br />ว่าไก่ที่เลี้ยงอยู่นั้นเป็นไก่หนุ่มหรือไก่ถ่าย<br />ถ้าเป็นไก่หนุ่มไม่ควรเลี้ยงนานจนเกินไป<br />ส่วนการเลี้ยงไก่แซมหรือไก่ถ่ายนั้นยิ่งเลี้ยงนานยิ่งดี<br />การเลี้ยงไก่ทุกครั้งจะขาดเสียไม่ได้คือยาสมุนไพรต่างๆ<br />เช่นยาบำรุงร่างกายสำหรับให้ไก่กินในระหว่างการเลี้ยงเพื่อออกชน<br />และต้องให้กินทุกวันก่อนนอนเป็นประจำ<br />เพราะจะทำให้ไก่เคยชินกับยาสมุนไพรนั้นๆ<br />หลังจากที่เราเลี้ยงไก่จนครบกำหนดวันที่จะออกชน<br />ข้อสำคัญเราต้องมีการพัก หรือการคืนตัวไก่<br />การพักหรือการคืนตัวไก่ ก็เพื่อให้สภาพร่างกายของไก่ได้คล่องตัวในการชน<br />เพราะตลอดเวลาที่เราเลี้ยงมานั้น เราทั้งลงขมิ้น ลงกระเบื้อง<br />ตามร่างกายของไก่มาเป็นเวลานาน<br />ร่างกายของไก่จึงมีอาการตึงตามตัวและขนของไก่<br />การพักเพื่อคืนตัวไก่นั้นไม่ควรพักเกิน 2 วัน<br />ถ้าพักมากอาจทำให้ไก่ลืมตัวไปเลยก็มี<br />วันแรกพอแดดออกเราเริ่มกราดน้ำด้วยน้ำซาวข้าว<br />แล้วนำไปตากแดดให้แห้งอย่าให้หอบ นำเข้าร่มแหย่คอเอาเสลดออกให้หมด<br />พอหายเหนื่อยดีแล้วให้กินข้าว กินน้ำ<br />แล้วนำไปปล่อยเล้าที่มีบริเวณกว้างๆ<br />และในเล้านั้นควรให้มีหลุมฝุ่นให้ไก่ได้เล่นด้วย<br />เพราะฝุ่นนั้นจะช่วยคลายตัวอีกทางหนึ่ง<br />พอบ่ายก็นำไก่มาขังสุ่มเพื่อต้องการให้ไก่ได้สลัดฝุ่นออกจากตัวให้หมด<br />แล้วก็ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง<br />แล้วนำไปตากแดดให้แห้งอย่าให้ไก่หอบเป็นอันขาด พอขนแห้งให้นำไก่เข้าร่ม<br />แหย่คอเอาเสลดออก พอหายเหนื่อยก็ให้ข้าว<br />และก็ตามด้วยยาสมุนไพรที่จัดเตรียมไว้ ยาบำรุงควรให้อย่าให้ขาด<br />ทำอย่างนี้ 2 วันก็พอ<br />แต่ถ้าวันออกชนกระเพาะเกิดไม่ย่อยห้ามนำไปชนอย่างเด็ดขาด<br /><br />การเช็คความสมบูรณ์ก่อนออกชน<br />วิธีตรวจเช็คความสมบูรณ์ของไก่ก่อนที่จะออกชนนั้นมีรายละเอียดต่างๆดังต่อไปนี้<br /><br />ตรวจเช็คดูผิวพรรณไก่โดยรวมๆ ไก่ที่จะออกชนได้ต้องผิวพรรณดี<br />เป็นสีแดงระเรื่อหรือแดงสด ไม่ว่าจะเป็นหงอน หน้าตา<br />ผิวพรรณตามส่วนต่างๆ<br />หากว่าไก่มีหงอนดำหรือคล้ำกว่าปกติและผิวพรรณไม่ดี<br />หรือถอดสีแดงแสดงว่าไก่ไม่สมบูรณ์(ไก่ถอดสีหมายถึง<br />ไก่ที่จับดูสักระยะหนึ่ง ผิวพรรณของไก่จะขาวซีดลง)<br />ตรวจเช็คน้ำหนักของไก่<br />โดยให้สังเกตน้ำหนักเดิมของไก่ว่ามีน้ำหนักเท่าใด<br />แล้วต้องดูตามความเหมาะสมของไก่แต่ละตัว<br />การเช็คน้ำหนักของไก่ให้เช็คน้ำหนักของไก่ให้ชั่งดูก่อนซ้อมปล้ำ<br />และเมื่อซ้อมปล้ำดูแล้วไก่แข็งแรงบินดี สมมุติว่าไก่น้ำหนักก่อนปล้ำ<br />2.8 กิโลกรัม เมื่อซ้อมปล้ำดูแล้ว ปรากฏว่าไก่บินดี แข็งแรง<br />ก็ให้คุมน้ำหนักไก่ตัวนั้นให้มีน้ำหนักในวันเลี้ยงสุดท้ายก่อนออกชนที่<br />2.8 กิโลกรัม หรือเพิ่ม-ลด เล็กน้อย<br />ตรวจเช็คดูว่าไก่ย่อยหมดหรือไม่ ในวันที่จะนำไก่ออกชน<br />ก่อนนำไก่ออกจากเล้านอน ให้ตรวจเช็คที่กระเพาะไก่ว่าย่อยหมดหรือยัง<br />กระเพาะไก่ต้องไม่มีอาหาร คือต้องว่างไม่มีอะไรเลย<br />หากว่ายังมีอาหารในกระเพาะแสดงว่าไก่ไม่สมบูรณ์ แต่ถ้ามีอยู่เล็กน้อย<br />แล้วย่อยหมดในช่วงสายๆก็พอใช้ได้<br />ตรวจเช็คดูขี้ไก่<br />ไก่ที่ร่างกายสมบูรณ์ขี้จะเป็นก้อนเล็กๆไม่แข็งหรือเหลวเกินไป<br />ลักษณะคล้ายขี้ของนกเขา<br />หากว่าขี้แข็งก้อนใหญ่เกินไปแสดงว่าระบบย่อยอาหารไม่ดี<br />หากว่าขี้เหลวมีสีเหลืองแสดงว่าไก่ท้องเสีย<br />แต่ถ้าหากขี้มีสีน้ำตาลเพราะเราให้อาหารประเภทไข่หรือเนื้อไก่ก็จะขี้เป็นสีน้ำตาล<br />ไก่ที่จะออกชนควรจะมีขี้สีเขียวไม่เข้มมากนัก<br />ขี้ไม่แข็งหรือเหลวเกินไป ขี้ไม่ก้อนใหญ่เกินไป<br />ตรวจเช็คดูตาและคอ ตาของไก่ต้องไม่มีพยาธิในตา ตาต้องไม่บวม<br />ไม่มีฟองหรือมีน้ำตา หากว่าไก่มีอาการเจ็บคอ เช่น<br />เสียงขันผิดปกติจากเดิม คอมีกลิ่นเหม็น<br />ถ้าไก่มีอาการเหล่านี้ไม่ควรนำออกชน<br />ตรวจเช็คอากัปกิริยาของไก่ ไก่ที่จะออกชนต้องมีอาการปกติ คือ<br />ก่อนเคยมีท่าทาง อากัปกิริยาอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น<br />นอกเสียจากว่าจะกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ถ้าหากว่าไก่มีอาการ เซื่อง<br />ซึม ไม่กินอาหาร ย่อยไม่หมด แสดงว่าไก่ไม่สมบูรณ์<br />ถ้าหากไก่มีอาการใช้นิ้วเกาที่บริเวณจมูกบ่อยๆ หรือมีน้ำมูกที่รูจมูก<br />แสดงว่าไก่จมูกตันหรืออาจจะเป็นหวัด ไม่ควรนำออกชนอย่างยิ่ง<br />ตรวจเช็คดูขา นิ้ว เดือย และการเดิน<br />ไก่ที่จะออกชนต้องไม่มีอาการนิ้วเจ็บ ขาเจ็บ เช่นว่า<br />ถ้าไก่ยืนยกขาด้านใดด้านหนึ่งอยู่เป็นประจำ<br />แสดงว่าไก่เจ็บขาหรืออาจจะเจ็บบริเวณใต้ฝ่าเท้า หรือนิ้วต้องตรวจเช็ค<br />ว่าไก่เจ็บที่ใด และต้องตรวจดูที่เดือยของไก่ด้วยว่ามีอาการช้ำ โยก<br />หรือห้อเลือดหรือไม่ ถ้ามีอาการเหล่านี้ไม่ควรนำไก่ออกชน<br />ตรวจเช็คดูปีกและน้ำขน ไก่ที่จะออกชนต้องยังไม่หลุด<br />หรือถ้าหากว่าจะหลุดแล้วแต่ยังเพิ่งเริ่มหลุดก็ยังพอออกชนได้<br />แต่ถ้าหลุดเยอะและขนหมดมันหรือขนแห้งมากเกินไป ไม่ควรนำไก่ออกชน<br />เพราะไก่ที่หลุดถ่ายขนร่างกายจะไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก<br />เพราะพลังงานส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้ในการสร้างขนใหม่<br />จึงไม่ควรนำไก่ออกชนอย่างเด็ดขาด<br /><br />การเตรียมตัวไก่เข้าสังเวียน<br />การให้อาหารขณะชน<br />ในวันที่นำไก่ออกชน ส่วนใหญ่ผู้เลี้ยงจะไม่ให้อาหารไก่เต็มที่เท่าไรนัก<br />บางคนให้กินเพียงไข่ต้มสุกเพียงใบเดียว หรือบางคนตำข้าวให้ไก่กิน<br />ดังนั้นเมื่อเปรียบไก่ได้คู่แล้ว ควรให้อาหารไก่กินจนอิ่ม<br />แต่ไม่ควรให้แน่นเกินไป อาหารที่ให้ควรเป็นอาหารสุกที่เตรียมไว้ให้กิน<br />และพยายามไม่ให้กิน<br />อาหารที่คนอื่นให้หรือไม่รู้ที่มาของอาหารเพื่อความปลอดภัยของตัวไก่<br />การให้ยาโด๊ป<br />ในการให้ยาโด๊ป<br />ต้องกะระยะเวลาในการให้ยาตามที่ผู้ผลิตได้บอกไว้ในฉลากยา<br />เพื่อให้ยาได้ออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ<br />ควรให้ยาโด๊ปหลังจากที่ให้อาหารไก่เรียบร้อยแล้ว<br />และควรทำตามลายละเอียดต่างๆที่ผลิตว่าไว้ทุกขั้นตอน<br />ควรงดอาหารเสริมประเภทแตงกวา ไข่ น้ำมะพร้าว<br />เพราะอาหารเหล่านี้จะดูดซับ ทำให้ยาโโปออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่<br />และไม่ควรให้ยาโด๊ปกินไว้ก่อน<br />เพราะมีบางคนเข้าใจผิดพยายามให้ยาตัวที่ยังไม่ควรให้<br />หรือให้ยาโด๊ปมากเกินไป จะทำให้ไก่เกิดอาการช็อกยาโด๊ปได้<br />ซึ่งเมื่อไก่ช็อกแล้วจะทำให้ไก่มึน งง ยืนให้ไก่คู่ต่อสู้ตี<br />และหงอนจะดำ ซึ่งจะส่งผลให้แพ้ได้ง่าย<br />การต่อปีก<br />ปีกไก่ที่ดีจะต้องมีกระดูกหนา ขนปีกหนาเรียงชิดติดกัน<br />อย่างเป็นระเบียบเป็นโค้งลอนเดียว ขนปีกไม่ขาด สนับปีกหนา<br />ทุกส่วนถูกต้องตรงตามสีไก่ ไก่ชนตามบ่อนไก่จะไม่ค่อยสนใจเท่าไร<br />เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นไก่ต่อปีก ขนที่ต่ออาจจะไม่เข้ากับสีตัวไก่<br />ขอให้บินดีเป็นใช้ได้<br />ปีกไก่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ<br />ปีกไก่ลอนเดียว คือปีกธรรมดา<br />เมื่อคลี่ออกทางคล่ำจะเห็นว่าขนปีกเรียงกันเป็นแถว ไปจนสุดปีก<br />ปีกไก่สองลอน คือปีกเมื่อคลี่ออกทางคว่ำจะเห็นว่าปีกแบ่งออกเป็น 2<br />ตอน ปีกชนิดนี้ถ้าถูกไก่เชิงมัด มุดโผล่ออกตอนกลางลอน<br />ก็จะเสียเชิงมาก เพราะปลดไม่ค่อยออก ถ้าไม่ถูกไก่เชิงมัดก็ไม่เป็นไร<br />ปีกไก่แบ่งออกเป็น 9 ลักษณะ คือ<br />ปีกหนา ดี<br />ปีกยาว ดี<br />ปีกสั้น ถ้าหนาและใหญ่ก็ใช้ได้<br />ปีกใหญ่ ดี<br />ปีกขนแข็ง เป็นมัน ดี<br />ปีกบาง ไม่ดี<br />ปีกขนเปราะ ไม่ดี<br />ปีกเล็ก ไม่ดี<br />ปีกใยแตก ไม่ดี แต่ถ้าเป็นเพราะเปียกน้ำ ก็ระวังรักษาให้หายได้<br />โดยระวังไม่ให้เปียกน้ำอีก<br />ในส่วนของปีกไก่ ถ้าหนาใหญ่ขนแข็งเป็นมันยิ่งดี มีกำลังบินดี<br />ถ้าปีกเล็กไม่มีกำลังบิน ปีกจะตกห้อยจากไหล่แสดงว่าหมดกำลัง<br />ถ้าปีกสั้นแต่หนาใหญ่ขนแข็งเป็นมัน ก็ยังดีใช้ได้<br />การเคียนเดือย<br />การเคียนเดือยนอกจากจะเป็นการเตรียมไก่ให้พร้อมก่อนลงสนามแล้ว<br />การเคียนเดือยยังเป็นการป้องกันไม่ให้เดือยโค่นหรือเดือยหัก ขณะชน<br />ส่วนวิธีการเคียนเดือยก็แล้วแต่ว่าไก่ตัวนั้นเดือยสั้นหรือเดือยยาว<br />มือน้ำจะรู้เองว่าจะเคียนกี่รอบก็แล้วแต่ความเหมาะสม<br />แต่โดยปกติแล้วไก่ที่เดือยสั้น มักจะไม่เคียนเดือย<br />เพราะไก่ที่เดือยสั้น<br />โอกาสที่เดือยจะโค่นหรือหักนั้นมีน้อยกว่าเดือยยาว<br />การเคียนเดือยเราจะเคียนรองโคนเดือย ส่วนการพันเดือยเราจะพันรอบเดือย<br />การเคียนเดือยเราจะเคียนเพื่อป้องกันเดือยโค่นหรือเดือยหัก<br />ส่วนการพันเดือยพันเพื่อป้องกันเดือยโผล่<br />ในการเคียนเดือยจะต้องไม่เคียนแน่นหรือหลวมจนเกินไป<br />เพราะจะทำให้ไก่กังวลมากเกินไป นำไปถึงการไม่ตีไก่<br /><br />เคล็ดลับการเลี้ยงไก่ชน ชนในเวลากลางคืน<br />การชนไก่นั้นเวลาเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน<br />ถ้าเราเปรียบคู่ได้ตอนบ่ายหรือตอนท้ายๆ<br />พอได้เวลาชนก็เย็นมากแล้วกว่าจะรู้แพ้ รู้ชนะก็กินเวลาเข้าไป 3-4 ทุ่ม<br />บางคู่อาจถึงเที่ยงคืน<br />เพราะฉะนั้นเคล็ดลับในการเลี้ยงไก่เพื่อออกชนเลยเวลาไปจนถึงกลางคืน<br />ในการเลี้ยงก็เลี้ยงไปตามปกติที่เคยเลี้ยงอยู่ แต่พอถึงเวลาเย็น<br />อาจจะล่อบ้างเล็กน้อย พอล่อเรียบร้อยแล้ว<br />ก็ทำตัวให้ไก่เรียบร้อยให้ไก่หายเหนื่อยดีแล้ว ก็ให้กินข้าว<br />กินยาบำรุงต่างๆ ให้เรียบร้อย พอประมาณ 1-2 ทุ่ม<br />ให้เริ่มกราดน้ำอุ่นๆค่อนข้างร้อนหน่อย กราดตามลำตัวให้ทั่วๆ<br />เอาถุงพลาสติกใส่ปีกเสียทั้งสองข้าง แล้วลงกระเบื้องให้ทั่วๆตัว<br />ให้นานหน่อย ให้เสร็จประมาณ 3-4 ทุ่ม ทำทุกวันจนกว่าจะถึงวันชนจริงๆ<br />ไก่จะได้เคยชินกับการนอนดึกๆ<br />การเลี้ยงแบบนี้จะได้เปรียบคู่ต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง<br />เพราะปกติแล้วไก่จะห่วงคอน ห่วงรัง พอค่ำก็จะรีบขึ้นคอน ขึ้นรังนอน<br />เราจะได้เปรียบตรงที่ว่าไก่เราไม่เคยนอนหัวค่ำนั้นเอง<br />ไก่จะนอนได้เต็มที่ก็ตอนพักคืนตัวสองวันเท่านั้น ไก่นอนเต็มที่ 2<br />วันก็พอแล้ว ข้อสำคัญต้องปิดไฟฟ้าในบริเวณที่ไก่นอนให้มืด<br />และก็อย่าให้เสียงดัง ไก่จะได้พักผ่อนได้เต็มที่ ไก่นั้นเขาจะตื่น 2<br />เวลา คือเวลาเที่ยงคืน กับเวลาตี 5 เพราะฉะนั้นก่อนออกชน 2<br />วันควรให้ไก่พักผ่อนให้เต็มที่<br /><br />การเช็คความพร้อมก่อนเข้าสังเวียน<br />1. ให้เช็คดูปีก ว่าปีกไก่สมบูรณ์หรือไม่<br />ถ้าปีกไก่หักเยอะก็ต้องทำการต่อปีกให้เรียบร้อย<br />หลังจากต่อปีกเสร็จแล้วต้องเช็คดูว่าปีกไก่กางออกได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่<br />ทางที่ดีควรนำขนไก่แทงรูดไปตามร่องห่างแต่ละปีกว่าติดกันหรือไม่<br />ถ้าติดกันก็ต้องจัดการให้ปีกแยกออกจากกันให้เรียบร้อย<br />2. ให้เช็คดูเดือยไก่ ถ้าไก่ของเราเป็นไก่เดือยเล็ก<br />ก็ต้องทำการเคียนเดือยเพื่อป้องกันเดือยโค่น<br />3. พันก้อยทั้งสองข้างให้เรียบร้อย<br />การพันก้อยก็เพื่อป้องกันไม่ให้ก้อยหักในขณะที่ชน เพราะถ้าก้อยหัก<br />จะทำให้ไก่แหยงไม่กล้าที่จะบินตีได้อย่างเต็มที่ หากไก่มีตำหนิอื่น<br />เช่นรอยถลอก อุ้งเท้ามีแผล แผลใต้นิ้วเท้า<br />ก็ต้องทำการปิดบาดแผลด้วยการใช้สำลีรองและใช้พลาสเตอร์พันทับ<br />เพื่อป้องกันแผลบริขณะที่ชน<br />4. แต่งตัวไก่ให้เรียบร้อย หมายถึงการเช็ดน้ำไก่ การยอนคอไก่ ฯลฯ<br />และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการเตรียมตัวไก่<br />หลังจากที่กรรมการในสนามประกาศให้คู่เราเตรียมตัวเข้าสังเวียน<br />มือน้ำต้องเช็คน้ำแล้วเช็คดูอาหารในกระเพาะแน่นหรือไม่<br />ถ้าไม่แน่นก็ต้องให้อาหารเพิ่ม แต่ไม่ควรให้แน่นมากเกินไป<br />หลังจากเช็คน้ำ ยอนคอไก่เสร็จ ก็ให้เช็คดูจมูกว่าโล่งสะดวกไหม<br />ถ้าจมูกไก่ตันก็ควรดูดหรือเป่าให้โล่ง<br />เพราะหากจมูกตันจะทำให้ไก่หายใจไม่สะดวกหลังจากนั้นพักให้เดินสักพักเพื่อให้ไก่ได้คลายตัว<br /><br /><br />การนำไก่เข้าสังเวียนในยกแรก<br />ก่อนจะปล่อยไก่ควรเช็ดน้ำให้ทั่ว ไม่ควรรีดน้ำออก แต่ควรนำน้ำเข้า<br />ใต้ก้น ใต้ปีก ตามสีข้าง หน้าอกให้มากเป็นพิเศษ<br />และก่อนปล่อยไก่ต้องยอนคอ ให้น้ำไก่กิน<br />และบีบน้ำรดหัวไก่ให้ทั่วบริเวณแผ่นหลัง และหน้าอก<br />เพราะหากเช็ดน้ำไก่ไม่เปียกหรือที่เรียกว่าไม่ถึงน้ำ ไก่จะหอบง่าย<br />ไก่ที่หอบจะไม่อยากตีไก่ และจะหมดแรงเร็วกว่าปกติ<br />ฉะนั้นการเช็ดน้ำไก่นั้นสำคัญมาก ต้องเช็ดให้ทั่ว เช็ดให้ชุ่ม<br />ก่อนปล่อยไก่เข้าชน<br />นอกจากดูแลไก่ของเราแล้ว มือน้ำต้องคอยสังเกตไก่ของคู่ต่อสู้ด้วย<br />เช็คการพันเดือย เช็ดดูการเช็ดน้ำไก่ฝ่ายตรงข้ามว่าตรงไปตรงมาหรือไม่<br />เพื่อป้องกันการเอาเปรียบของฝ่ายตรงข้าม<br /><br />การประคองไก่ตอนหมดยก<br />เมื่อหมดยกมือน้ำจะรู้ทันทีว่า สิ่งแรกที่จะทำคืออะไร<br />การประคองไก่จะแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ถูกคู่ต่อสู้ยำ คือ<br />ดูแล้วว่าสถานการณ์เป็นรอง กับอีกกรณี คือ ยำคู่ต่อสู้ ซึ่งทั้ง 2<br />สถานการณ์สำหรับการประคองไก่จะมีความที่แตกต่างกันอยู่ คือ<br />ไก่ที่โดนคู่ต่อสู้ตีมากๆ บาดแผลเยอะ<br />มือน้ำต้องดูก่อนว่าโดนที่ตรงไหนบ้าง ซึ่งขั้นตอนตรงนี้<br />มือน้ำแต่ละคนจะประคองไก่ไม่เหมือนกัน<br />บางคนเย็บแผลเสร็จหรือแต่งแผลเสร็จก่อนค่อยให้ไก่พัก<br />บางคนก็ให้ไก่พักก่อนทำแผล ส่วนกรณีที่ไก่โดนตีมากๆ<br />นอกจากจะให้ไก่พักนานๆแล้ว เราจะต้องประคบกระเบื้องพอสมควร<br />นั่นคือกรณีที่โดนคู่ต่อสู้ยำ<br />ไก่ที่เป็นฝ่ายยำคู่ต่อสู้ ก็จะหนักไปทางการให้พักนานๆมากกว่า<br />การปประคองไก่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตัวไก่<br /><br />การนวด<br />การนวดไก่นั้น นวดเพื่อให้หายจากการปวดเมื่อยที่มาจากการตีกัน<br />การนวดต้องนวดทุกวัน ตั้งแต่เริ่มเลี้ยง จนถึงวันเลิกเลี้ยง<br />เพื่อให้ไก่ได้เคยชินกับการนวดทุกแห่งในร่างกาย<br />การนวดไก่นั้นจุดที่สำคัญมีหลายจุด ควรนวดให้ครบทุกจุด ทุกวัน<br />ไก่จะได้เคยชินกับมือ เมื่อเวลาไก่ออกกำลังมากๆ นานๆ<br />บางครั้งอาจทำให้เส้นตึง เส้นคัด ถ้าได้นวดก็จะคลายไปได้บ้าง<br />การนวดจุดของไก่นั้น นวดที่คอ นวดที่ขั่วปีก ที่หน้าอก ปั้นขา นิ้ว<br />เส้นบนหลัง หัว ทุกจุดล้วนแล้วแต่เป็นจุดที่สำคัญ นวดเบาๆทุกวัน<br />อย่าให้แรง เพราะถ้านวดแรงเกินไปอาจทำให้ไก่เสียเส้น จงพิจารณาให้ดี<br />ตรงไหนควรนวดหนักๆ ตรงไหนควรนวดเบาๆ การนวดไก่หลังชนมาเป็นสิ่งสำคัญมาก<br />เพราะสามารถช่วยให้ไก่ได้กระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา<br />ไม่อ่อนเพลีย<br /><br />การแก้ไขไก่เป็นตะคริวและหอบ<br />การแก้ไขไก่เป็นตะคริว ไก่เป็นตะคริวเกิดจากสาเหตุ โดนตีหนัก<br />ระบมทุกส่วนของร่างกาย เสียเลือด เมื่อย จะหมดแรง หายใจหอบ<br />ไก่เป็นตะคริวอาจถึงตาย มือน้ำต้องแก้ไขอย่างรีบด่วนตามอาการของไก่<br />ไก่ที่เป็นตะคริวส่วนใหญ่ ไก่โดนตีเจ็บหนัก หมดแรงจากการชนหลายยก<br />การแก้ไขของมือน้ำถ้าเลือดไหลไม่หยุด รีบห้ามเลือดเสียก่อน<br />ประคบด้วยน้ำอุ่นบริเวณอก ใต้ปีก โคนขา หน้าขา พื้นเท้า นวดคลึงเบาๆ<br />เมื่ออาการทุเลาหรือดีแล้วให้พักผ่อนคลุมผ้าที่หัว<br />รมควันให้เกิดความอบอุ่นระยะหนึ่ง ให้ไก่กินยาเสริมกำลังบำรุง<br />ให้ข้าวบดใส่เนื้อสุก ทำเป็นคำป้อน ให้น้ำมะพร้าว<br />ให้กินน้ำสะอาดพอสมควร ให้เดินดูเพื่อให้ไก่ถ่าย<br />ถ้ามีเวลาให้ไก่มาคลุมนอนพักผ่อนอีกครั้งหนึ่ง<br />ไก่มีอาการหอบ อาการหอบมีสาเหตุเกิดจาก การเตรียมไก่เข้าชน<br />การอาบน้ำไก่เข้าชนใช้เวลาสั้นหรือน้อยเกินไป<br />อาบน้ำไก่ไม่เปียกหรือทั่วถึงตัว หรือเลี้ยงไม่เต็มที่ เช่นการตากแดด<br />การให้กำลัง การให้อาหารไม่ครบ หรือไก่ขณะต่อสู้กันเร่งเกินไป<br />หวังเอาชนะคู่ต่อสู้เร็วๆ ส่วนมากไก่จะมีอาการหอบในยกแรก<br />เพราะไก่เร่งเต็มที่ ทำให้ขนแห้ง ความร้อนภายในร่างกายก็เพิ่มขึ้น<br />ทำให้ไก่มีอาการหอบไม่อยากตีคู่ต่อสู้เลยก็มี เพราะมัวอ้าปากหายใจ<br />เพื่อระบายเอาความร้อนออกจากร่างกาย<br />การแก้ไข เมื่อหมดยกรีบเข้าไปประครองไก่ให้น้ำเย็นผสมน้ำอุ่นประคบเบาๆ<br />บริเวณลำตัว ใต้ปีกสองข้าง หน้าอก กางปีกออกให้ลมพัดผ่านได้ง่ายขึ้น<br />ใช้พัดลมพัดให้ช้าๆ ใช้ปีกไก่หยอนคอ<br />ค่อยๆหมุนขนไก่เพื่อเอาเสลดออกมาจากคอ ใช้น้ำเย็นล้างหน้า<br />ใช้มือด้านใดด้านหนึ่งประคองคอไก่<br />โดยใช้หัวแม่มือและนิ้วชี้ปิดหัวไก่เบาๆเอาไว้ทั้งสองข้าง<br />ป้องกันไม่ให้หูอื้อ หรือลมออกหู<br />แล้วรีบนำไก่ออกจากสังเวียนมาที่พักให้น้ำ อย่างรีบด่วน<br />เพื่อแก้อาการหอบให้หาย ไก่จะได้พักนานๆ<br />และปล่อยให้ไก่เดินเพื่อดูอาการของไก่ และให้ไก่ถ่าย<br />ถ้าไม่ถ่ายใช้ขนไก่พับแล้วหมุนแหย่เข้าก้นไก่ ไก่จะถ่ายทันที<br />เรียกว่าสวนขี้ จะทำให้ไก่สดชื่น<br />แล้วนำเข้าไปลงกระเบื้องอีกหากมีเวลาพักเหลือ<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />---------------------------------------</div></div>mr.theehttp://www.blogger.com/profile/15557396758322022068noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7622724457084005779.post-73347999783891745482007-12-17T06:04:00.000-08:002007-12-17T06:05:27.093-08:00แบบฝึกหัด อ.มงคลคำถามท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 4<br />จงเติมคำลงในช่องว่างต่อไปนี้ให้สมบูรณ์และถูกต้อง<br /><br />1. คำว่า Communis แปลว่า คล้ายคลึง หรือ ร่วมกัน<br />2. การสื่อความหมาย หมายถึง กระบวนการส่งหรือถ่ายทอด ความรู้ เนื้อหาสาระ ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ ค่านิยม ทักษะ ตลอดจน ประสบการณ์ จากบุคคลฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าผู้ส่งไปยัง บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้รับ<br />3. Sender Message Channal Receive<br />4. สาร หมายถึง เนื้อหาสาระ ความรู้สึก ทัศนคติ ทักษะ ประสบการณ์ ที่มีอยู่ในตัวผู้ส่ง หรือ แหล่งกำเนิด<br />5. Elements หมายถึง องค์ประกอบย่อยๆ พื้นฐานที่จำเป็นต้องมี<br /> ตัวอย่าง เช่น สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ หรือ สีแดง สีเหลือง เส้น เป็นต้น<br />6. Structure หมายถึง โครงสร้างที่เกิดขึ้นจาการนำเอาองค์ประกอบย่อยๆ มารวมกัน<br /> ตัวอย่าง เช่น คำ ประโยค หรือสีสัน ขนาด รูปร่าง รูปทรง<br />7. Content หมายถึง ข้อมูลที่ให้ความรู้สึกนึกคิดตามต้องการของผู้ส่ง<br /> ตัวอย่าง เช่น<br />8. Treatmant หมายถึง วิธีการเลือกการจัดรหัสหรือเนื้อหาให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถถ่ายทอดความต้องการของผู้ส่ง ไปยังผู้รับ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br /> ตัวอย่าง เช่น<br />9. Code หมายถึง กลุ่มสัญลักษณ์ที่ถูกนำมาจัดแทนความรู้สึก นึกคิด ความต้องการ<br /> ตัวอย่าง เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน ดรตรี ภาพวาด กริยา ท่าทาง<br />10. อุปสรรค์หรือสิ่งรบกวนภายนอก เช่น เสียงดังรบกวน อากาศร้อน กลิ่น แสงแดด<br />11. อุปสรรค์หรือสิ่งรบกวนภายใน เช่น ความเครียด อารมณ์ขุ่นมัว อาการเจ็บป่วย ความวิตก<br />12. Encode หมายถึง การเข้ารหัส หรือแปลความต้องการ เช่น สัญลักษณ์<br />13. Decode หมายถึง การถอดรหัส หรือ แปลรหัสเป็นความหมาย<br />14. จงอธิบายการสื่อสารความหมายในการเรียนการสอนมาให้ครบถ้วนและถูกต้อง หน้า69<br />15. จงอธิบายถึงความล้มเหลวของการสื่อความหมายในการเรียนการสอน หน้า 71mr.theehttp://www.blogger.com/profile/15557396758322022068noreply@blogger.com0